หน้าแรก  :  เกี่ยวกับเรา  :  สมัครสมาชิก  :  ติดต่อเรา  :  บริจาค และ สั่งซื้อหนังสือเรื่อง"For You....คุณแม่คนเก่ง
บทความที่ควรอ่าน: สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องต้องทำ
สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องต้องทำ
Views: 24707

โปรดร่วมบริจาค
เพื่อเราจะได้สามารถช่วยเหลือลูกคุณ และลูกคนอื่นๆ
มิให้เป็นโรคซึมเศร้า โรคอารมณ์แปรปรวน ทำร้ายสตรีและผู้อื่น
หรือประพฤติผิดกฏหมายทุกรูปแบบเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น

โดยโอนเงินเข้าบัญชี  ธนาคารกสิกรไทย
สาขาลาดพร้าว  71  ออมทรัพย์
ชื่อบัญชี คุณนภัทร พุกกะณะสุต 
และ คุณบุณฑรีก์ โมกขะสมิต 
เลขที่บัญชี  021-8-89778-9

ผลบุญที่เกิดขึ้นจากการช่วยเหลือผู้ป่วย
ทำให้ปัญหาความเจ็บป่วยของคุณและบุคคลในครอบครัวดีขึ้นจนหาย

 

สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องต้องทำ

        พึงระลึกไว้เสมอว่า  ไม่มีอะไรหรือใครจะมาช่วยเหลือให้ลูกสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้นได้ดีที่สุดเท่าคุณแม่   คุณพ่อและพี่น้องร่วมครอบครัว  ทุกคนควรจะต้องดำเนินการช่วยเหลือดังต่อไปนี้

 

  • ปรึกษาหารือโดยเฉพาะคุณพ่อและคุณแม่ต้องช่วยเหลือลูกในทิศทางเดียวกัน
  • ถ้ารู้สึกเครียดมากกับพฤติกรรมของลูกที่บ้านและคุณครูแนะนำอย่างตรงไปตรงมาหรือพูดอ้อมๆ เป็นนัยยะ  ต้องรีบนัดพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
  • หากพฤติกรรมของเด็กสร้างปัญหาทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน  คุณหมอจะให้รับประทานยา ถ้าภายในสองสัปดาห์ลูกไม่ดีขึ้น  ต้องปรึกษาคุณหมอ  ถ้ามีการเพิ่มยาแต่อาการไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี  จำเป็นต้องเปลี่ยนแพทย์เพราะการวินิจฉัยอาจผิดพลาด  ลูกมิได้เป็นสมาธิสั้นตามที่คุณแม่ให้ข้อมูลกับคุณหมอว่า  ลูกซุกซนอยู่ไม่นิ่ง  เด็กสมาธิสั้นเมื่อรับประทานยา  อาการจะดีขึ้น  เชื่อฟังมากขึ้น  สามารถรับผิดชอบงานที่บ้านและที่โรงเรียนได้มากขึ้น  ผลการเรียนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  จะกลายเป็นเด็กเรียนดี  ในขณะที่เด็กเปลี่ยนแปลงคุณแม่ต้องแก้ไขพฤติกรรมตนเองตามหลัก  ทาน  ศีล  ภาวนาและปรับพฤติกรรมลูกอย่างถูกต้องโดยใช้ "ตารางกิจวัตรประจำวัน" และ  "ตารางกิจวัตรประจำวันหยุด"  โดยไม่ตี หรือ ดุ  ด่า  ว่า  กล่าว  ลูก  อ่าน  "บทบาทของจิตแพทย์" และ "ปัจจัยที่ทำให้ดีขึ้น"

  • กระตุ้นการทำงานของสมองลูกด้วยการทำ  "กิจกรรมบำบัดหรือเอสไอ"ในโรงพยาบาลที่พบแพทย์และต้องทำที่บ้านอย่างน้อยวันเว้นวัน  อ่าน "การฝึกกิจกรรมบำบัด"  หรือ  ให้ลูก "เล่นแบบไทย"  อ่าน "การเล่นแบบไทยกระตุ้นสมองเด็ก" อย่างสม่ำเสมอจนกว่าแพทย์จะเลิกให้รับประทานยาและแจ้งว่าลูกหายแล้ว

  • บำรุงสมองลูกด้วยอาหารที่ถูกต้องตามธรรมชาติ เป็นต้นว่า  ปลาทู  ไข่ไก่(ต้องไม่มีปัญหาหัวใจ) น้ำ้เต้าหู้  ไม่ใส่น้ำตาล  (ไม่ดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มหรืออาหารที่ใส่น้ำตาลมากเพราะนำ้ตาลได้จากแ้งและข้าวเป็นประจำ) ผลไม้ที่ไม่หวาน  ผักพื้นบ้าน เช่น ถั่วพลู ดอกแค  ดอกโสนและดอกขจร ฯลฯ

  • ให้ความรักต่อเด็กโดยปราศจากเงื่อนไข  จนเด็กสัมผัสได้ว่า  ตนเป็นที่รักของทุกคน  เกิด  ความสุขและรู้สึกอบอุ่น  มีความภาคภูมิใจในตนเอง

  • ให้ความเมตตา ปฏิบัติต่อเด็กด้วยความใจเย็นตาม  หลักธรรมะ (ทาน  ศีล  ภาวนา) ทุกวัน  หากนับถือพุทธ  ทั้งนี้เพราะเป็นข้อปฏิบัติประจำวันของชาวพุทธ  หากนับถือศาสนาอื่นก็ต้องเป็นคำสอนของพระศาสดา

  • มีความอดทนและตั้งใจ "ช่วยเหลือเด็ก ไม่ใช่แก้ไขเด็ก"  ควรจำไว้ว่า ยิ่งแก้ยิ่งแย่  เพราะเด็กมิได้แกล้งทำ  มันเป็นธรรมชาติที่สมองสั่งการเช่นนั้น

  • ประคับประคอง ช่วยเหลือและไม่กดดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม  เพราะเด็กเกิดมาอาภัพอยู่แล้ว  ต้องล้างความอาภัพให้หมดไป  ด้วยการให้ คำชม เท่าที่จะทำได้  ไม่ตอกย้ำซ้ำเติมจนคำวาสมาธิสั้นไปฝังอยู่ใน "จิตใต้สำนึก" ของลูก  จนแย่และแย่ๆๆๆๆๆ  "จิตใต้สำนึก" ของพ่อแม่ต้องดีเช่นกัน  "จิตสำนึก" จึงจะดีและคิดแต่ด้านบวก  ทำแต่ด้านบวกและพูดแต่ด้านบวกทุกเรื่อง  จิตสำนึกของลูกจึงจะดีตลอดชีวิตเช่นกัน




  • ไม่ใช้วิธีการรุนแรง  เพื่อแก้ไขเป็นต้นว่า  การดุ  ด่า  ว่า  กล่าว  ตำหนิ ติเตียน  ประชดประชัน  เปรียบเทียบจนถึงขั้นทำโทษรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการตีหรือการกักขังเพราะจะทำให้เด็ก....แย่....แย่......และแย่

  • ปรับพฤติกรรมของตนเองให้อยู่ในวงจรของความโกรธน้อยที่สุด  ไม่มียาลดความโกรธ  มีแต่การลดความโกรธด้วยการปฏิบัติธรรมะเป็นประจำวันโดยใช้หลัก ทาน ศีล และ ภาวนา เท่านั้น  ยึดให้มั่น  ท่านจะไม่หลงทาง  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องลูกหรือปัญหาใดๆ ในชีวิต  ท่านจะผ่านพันไปได้ด้วยดี  ทำไม่สำเร็จ  ทำใหม่ได้  ไม่มีคำว่า "สายไป" ข้อนี่สำคัญมากเพราะทุกปัญหา  ทุกความทุกข์  ทุกอารมณ์  ท่านต้องแก้ตนเอง  มิใช่แก้ผู้อื่น  ถ้าแก้ผู้อื่น  คุณจะแย่ๆๆๆๆ

 

  • ปรับพฤติกรรมเด็กโดยไม่ใช้ความรุนแรง  ต้องรีบทำตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กหรือเมื่อแรกพบอาการ  เช่น  การกำหนดเวลาให้เด็กทำการบ้าน  เมื่อถึงเวลาต้องจูงมือเด็กมาทำการบ้าน  ถ้าเด็กต้องการดูทีวีให้จบรายการก่อน  ต้องไม่ยอมและปิดทีวี  แม้เด็กจะร้องไห้โวยวาย  ต้องเงียบเฉย  เมื่อหยุดร้องไห้  ให้จูงมือไปทำการบ้าน  ห้ามตะโกน  ใช้เสียงต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก  การปรับพฤติกรรมเช่นนี้  ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต้องยีดยุ่น  เมื่อเห็นว่าเด็กเจ็บป่วยหรือมีอาการเครียดเมื่อกลับมาจากโรงเรียน 

  • หาความช่วยเหลือให้ตัวเองคลายความทุกข์และความเครียด  รวมทั้งอาการวิตกกังวล โดย ปรึกษาผู้รู้  ที่มากประสบการณ์ พบนักจิตวิทยา และเข้าเป็นสมาชิกของชมรมฯและหมั่นเข้า  ร่วมกิจกรรม  ของชมรมผู้ปกครองฯ เป็นประจำ  สมาชิกจะได้รับแจ้งจากจดหมายข่าว “เพื่อนแม่” เป็นประจำ


  • เรายินดีให้คำปรึกษา "ฟรี" เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกคนพิเศษของคุณ ให้ประสบความสำเร็จในการเรียนและการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข และ"เชื่อฟังและรักคุณ"

    การปรึกษาต้องใช้เวลา 2ชั่วโมงเพราะยาที่หมอให้จะช่วยได้เฉพาะ "เด็กสมาธิสั้น"  เท่านั้น  เด็กออทิสติกไอคิวสูง  หรือ  เด็กแอลดีมีสมาธิสั้นแทรกซ้อน  ยาที่ได้รับจากหมอจะใช้ไม่ได้ผล  เด็กๆทั้ง 3  ประเภทนี้ดูคล้ายกัน  ยิ่งถ้าอยู่ในห้องของหมอที่แคบและเวลาที่หมอไม่สามารถให้ได้ถึง 2  ชั่วโมง  จะทำให้ผิดพลาดเพราะสภาพแวดล้อมในขณะวินิจฉัย ไม่ใช่หมอไม่เก่ง

        การไม่ร่วมกิจกรรมโดยบอกตนเองว่า "ไม่มีเวลา ไม่ว่าง ไกล ฯลฯ " เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเพราะเด็กจะถูกกดดัน  ให้มุ่งมั่นซ้ำซากอยู่กับการเรียนพิเศษ ในรูปแบบต่างๆ  จนเด็กอ่อนล้าทางกายและทางใจ  จำไว้เสมอว่า "เด็กสมาธิสั้นก็เก่งได้"  โดยไม่ต้องหายใจเข้าออกเป็น "เรียนพิเศษ"

สัญญาณบอกปัญหารุนแรง

  • เด็กเริ่มพูดว่า "เกิดมาทำไม ทำอะไรก็ผิดหมด อยากตาย"
  • คุณแม่เริ่มเบื่อหน่ายทุกอย่าง  อยากอยู่คนเดียว  หงุดหงิดโมโหง่าย

ต้องหาความช่วยเหลือด่วนที่สุด

  1.  พบจิตแพทย์ทั้งแม่และลูก
  2. พบผู้มีประสบการณ์
  3. นักจิตวิทยา

ติดต่อนัดหมายขอความช่วยเหลือจากชมรมฯ ในฐานะผู้มีประสบการณ์โทร 02-932-8439 หรือ Line ID:thaiadhd

 

 



บทความที่ควรอ่าน: สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องต้องทำ
»ปิดเทอมรับสอนพิเศษ
09-02-2018
»สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องต้องทำ
25-01-2018
 
หน้าแรก  เกี่ยวกับเรา  สมัครสมาชิก  ติดต่อเรา  บริจาค และ สั่งซื้อหนังสือเรื่อง"For You....คุณแม่คนเก่ง
Copyright©2024 adhdthai.com
Powered by SMEweb