แผน 4 2 3 1

การเล่นฟุตบอลแผน 4 2 3 1 นับว่าเป็นหนึ่งในการปฏิวัติครั้งสำคัญในวงการกีฬาฟุตบอล โดยระบบนี้ได้เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และได้แพร่กระจายไปใช้อย่างแพร่หลายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ มาเรียนรู้ร่วมกับ ADHDTHAI ในบทความนี้เกี่ยวกับที่มา, โครงสร้าง, และการประยุกต์ใช้ของระบบการเล่นแบบ 4:3:2:1 อย่างละเอียด.

จากการสังเกตและศึกษาพบว่า ระบบการวางตัวผู้เล่นที่น่าสนใจ คือการวางตัวผู้เล่นในแดนกลางไว้ 5 คน ไม่ว่าจะเป็นระบบ 4:4:2, 4:2:3:1, หรือ 4:3:2:1 ซึ่งล้วนแต่เป็นวิวัฒนาการที่ผู้เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะผู้ฝึกสอนและผู้จัดการทีม ควรต้องเฝ้ามองและจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ระบบการเล่น แผน 4 2 3 1

ระบบการเล่น แผน 4-2-3-1

ระบบ 4:2:3:1 ถือเป็นการค้นคิดที่ลึกซึ้งและหลักแหลมในเชิงยุทธศาสตร์ลูกหนังของโลกในทศวรรษที่ผ่านมา และได้นำไปสู่การประยุกต์ใช้ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นสิ่งตอบสนองความต้องการของทีมในระดับโรงเรียน ระดับสโมสร และระดับทีมชาติในทุกวันนี้

ระบบที่ดิ้นได้พลิกแพลงได้หลายแบบ (Flexible)

ระบบ 4:2:3:1 เป็นระบบที่ดิ้นได้และสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่เราต้องการให้มันดิ้นไปทั่วสนาม ขอเพียงแต่เราเข้าใจและเข้าถึงปรัชญาของมันอย่างถ่องแท้ จะมีระบบไหนอื่นที่ใช้ฟูลแบ็ก 2 กลาง 5 หน้า 1 รวม 8 คน ที่ผลัดกันเข้าไปทำประตูได้อย่างทัดเทียมกัน โดยที่ทีมไม่เสียการสมดุลของทีม หรือมากไปกว่านี้ คู่เซนเตอร์ก็ยังสามารถหาโอกาสเล็ดลอดเข้าไปทำประตูได้อีกด้วย

โครงสร้างของระบบ แผน 4 2 3 1

โครงสร้างของระบบ แผน 4 2 3 1

ระบบนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นในประเทศสเปนระหว่างปี 2533 – 2543 โดยใช้เวลาลองผิดลองถูก จนกระทั่งลงตัวและเป็นที่ยอมรับนานกว่า 10 ปี จากนั้นก็ได้เริ่มแพร่หลายกระจ่ายไปสู่ทุกภาคส่วนของยุโรปจวบจนปัจจุบัน ภายใต้แรงจูงใจอันเกิดจากการวางตัวผู้เล่นในตำแหน่งกลางรับ 2 คน ให้ทำหน้าที่เป็นแกนหมุน หรือจุดหมุน (Fulcrum)

ภารกิจหน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง

ในระบบ 4:2:3:1 มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจน เช่น ศูนย์หน้า, กลางรุก, กลางรับ, และฟูลแบ็ก โดยแต่ละตำแหน่งมีภารกิจหลักที่แตกต่างกัน แต่ต้องประสานงานกันเป็นอย่างดีเพื่อให้ระบบการเล่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

Striker(ศูนย์หน้า)

ศูนย์หน้า

ระบบนี้สามารถนำไปใช้ได้กับศูนย์หน้าที่เป็นตัวหน้าเป้าที่เก็บลูกบอล รอกลางรุกทั้ง 3 คน ที่กำลังมาช่วย หรือเป็นศูนย์หน้าที่เฉียบคม รวดเร็ว ว่องไว มีทักษะสูง และลากลูกเข้าไปทำประตูได้ด้วยตัวเองเมื่อโอกาสอำนวย  ที่สำคัญผู้เล่นนี้ควรมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษในการที่จะต้องเก็บบอลไว้กับตัวรอกลางรุก และยังต้องมีทักษะในการผ่านลูกบอลให้เพื่อน ๆ เข้าทำประตู

Attacking Midfielders (กลางรุก)

Attacking Midfielders

การวางผู้เล่นกองกลางเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างโอกาสในการเล่นรุก โดยจะมีผู้เล่น 1 คน ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยหลักให้กับศูนย์หน้า และอีก 2 คนเล่นในตำแหน่งริมเส้น เพื่อสร้างโอกาสจากการเติมขึ้นมาด้านข้าง หรือการตัดเข้าในเพื่อสร้างโอกาสให้เพื่อนยิงประตู

ในขณะเดียวกัน เมื่อต้องการเปลี่ยนจากเกมรุกเป็นเกมรับ ผู้เล่นริมเส้นจะถอยกลับมาช่วยฟูลแบ็ก ส่วนตัวหลังศูนย์หน้าจะถอยกลับมายังแดนตัวเอง เพื่อรอจังหวะในการเริ่มรุกใหม่ ซึ่งจะทำให้ระบบเกมเปลี่ยนไปเป็น 4:5:1 หรือ 4:4:1:1 ขึ้นอยู่กับรูปแบบการรุกของคู่แข่ง

การวางผู้เล่นในลักษณะนี้จะทำให้เกมรุกมีความหลากหลาย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ดังเช่นกรณีของ บาร์เซโลนา หรือทีมชาติเยอรมัน ในศึกยูโร 2012 ที่แม้จะไม่สวยงามเท่า บาร์เซโลนา แต่ก็สามารถสร้างความสับสนให้กับแนวรับคู่แข่งได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี 2012 ที่มีผู้เล่นกองกลางที่โดดเด่น

Defensive Midfielders (กลางรับ)

Defensive Midfielders

บทบาทหลักของผู้พิทักษ์แดนกลางทั้งสองคือการปกป้องแนวรับ หรือที่เรียกว่า “เป็นหน้าบ้านให้หลัง” ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ที่คล้ายคลึงกัน โดยที่หนึ่งในสองจะทำงานหนักในการตัดทางเดินของคู่แข่ง ในขณะที่อีกคนจะทำหน้าที่เป็นตัวกรองและกระจายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมในแนวรุก เช่น เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และซาบี อลอนโซ่ ของทีมชาติสเปน ซึ่งเป็นคู่ที่ทำงานกลมกลืนในบทบาทนี้ โดยเฉพาะซาบี อลอนโซ่ ที่สามารถเปิดเกมจากแดนหลังไปยังแนวรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางเดียวกัน ชไวน์สไตเกอร์และเคดิร่า ของทีมชาติเยอรมัน ก็เป็นอีกคู่ที่เป็นแกนหลักของทีม การที่มี 2 ผู้พิทักษ์แดนกลางเป็นตัวหนุนหลังแนวรับนั้น ช่วยให้แนวรุกสามารถเล่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรับ เพราะผู้พิทักษ์แดนกลางทั้งสองจะช่วยประสานงานกับแนวรับเพื่อปิดช่องโหว่ได้เป็นอย่างดี

Full Back (ฟลูแบ็ก)

Full Back

ฟูลแบ็กมีบทบาทสำคัญในการควบคุมเกมและสร้างสรรค์การเล่น ทั้งในแผนกป้องกันและการรุก

  • ในฐานะผู้ยับยั้งการลำเลียงบอลของคู่แข่ง ฟูลแบ็กจะกีดขวางไม่ให้ศูนย์หน้าและกองกลางได้รับบอล
  • แต่นอกจากนี้ ฟูลแบ็กที่มีพลังและความเร็วสูง ยังสามารถเป็นอาวุธรุกที่สำคัญ โดยการเปิดช่องทางและสร้างโอกาสในการยิงประตูด้วยตัวเอง

ฟูลแบ็กที่โดดเด่นจึงมีคุณค่าอย่างมากต่อทีม เพราะนอกจากจะป้องกันได้แล้ว ยังสามารถเปิดเกมรุกและทำประตูได้ด้วย ดังเช่นกรณีของนักเตะชั้นนำอย่าง ลาห์ม, บัวเต็ง และ อัลเวส

Center Back (เซนเตอร์แบ็ก)

Center Back

ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กเป็นหัวใจสำคัญของแนวรับ โดยมีภารกิจหลักในการขัดขวางและหยุดยั้งการรุกของฝ่ายตรงข้าม ไม่อนุญาตให้พวกเขาได้เล่นลูกทั้งบนพื้นและลูกกลางอากาศ ด้วยแท็กติกการคุมพื้นที่และควบคุมผู้เล่น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตำแหน่งนี้ยังเป็นสองในสี่คนสุดท้ายที่มีหน้าที่เก็บบอลไปมา เพื่อเปิดโอกาสให้กองกลางปรับแผนเกมรุกต่อไป

ตัวอย่างเช่น ในเกมของบาร์เซโลนาและยูโร 2012 เราเห็น ปูโยล และ ปิเก้ ทำหน้าที่นี้อย่างโดดเด่น โดยแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเซนเตอร์แบ็ก แต่ก็มักจะผลัดกันเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมรุกด้วย เช่นเดียวกับ รามอส และ ปิเก้ ที่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสรรค์เกมรุก

สรุป

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องที่ต้องเรียนรู้การผูกและการแก้ไขระบบนี้ไปพร้อมกัน การใช้แผน 4 2 3 1 ในการวางตัวผู้เล่นช่วยให้เห็นการแบ่งงานของกองกลาง 5 คนและหน้า 1 คนได้อย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกสอนสามารถนำไปใช้เป็นกรณีศึกษาที่ดีเยี่ยม.

By admin

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *