ในช่วงวัยแห่งการเติบโต เด็กน้อยจำเป็นต้องได้รับการเสริมพัฒนาการเด็กอย่างเหมาะสม “การเล่น” คือกุญแจสำคัญสู่การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองของพวกเขา ผ่านกิจกรรมที่ฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์ และประสาทสัมผัส
พ่อแม่ควรเป็นผู้นำในการจัดหากิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อย เพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งในด้านความฉลาด ร่างกายที่แข็งแรง และการควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม การเล่นอย่างสร้างสรรค์จะช่วยปูทางให้เด็กก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในทุกด้าน
เสริมพัฒนาการเด็กสร้างสมาธิให้ลูกน้อย
สำหรับครอบครัวที่มีลูกน้อยสมาธิสั้น พ่อแม่สามารถใช้วิธีการต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาพฤติกรรมและสมาธิของลูกได้ ลองทำดังนี้:
-
ใจเย็น ให้กำลังใจ และชมเชยพฤติกรรมที่ดีของลูก เพื่อให้เขารู้สึกดีต่อตัวเอง
-
จัดตารางกิจวัตรประจำวันให้ลูกทำตามอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเสริมสร้างการควบคุมตัวเอง
-
จัดกิจกรรมที่ฝึกสมาธิ เช่น ปั้นดินน้ำมัน ระบายสี ต่อตัวต่อ เป็นต้น
-
มอบหมายงานบ้านง่ายๆ ให้ลูกทำ เพื่อเพิ่มความสามารถในการจดจ่อ และอย่าลืมให้กำลังใจ
-
ใช้ดนตรีช่วยพัฒนาสมาธิ เช่น สอนให้ปรบมือตามจังหวะ หรือให้ลูกฟังเพลงและตอบคำถาม
-
สบตาเวลาพูดคุยกับลูก เพื่อสร้างทักษะการสื่อสารและสมาธิ
-
ให้ลูกได้สำรวจความสามารถของตัวเอง ในขอบเขตที่เหมาะสม
-
อย่าใส่ใจเมื่อลูกซนหรือหนี แต่ควรควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้
-
จัดกิจกรรมอื่นเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ต่อบล็อกไม้ หรืออ่านนิทาน
-
แยกลูกออก เมื่อเขาทะเลาะหรือทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้สงบลง แล้วค่อยพูดคุย
-
ใช้ความอดทนและให้ความรักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยปรับปรุงพฤติกรรมลูก
การเล่านิทานส่งเสริมพัฒนาการเด็ก
การอ่านหนังสือและเล่านิทานให้ฟังเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์อย่างมาก ไม่เพียงแค่ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมพัฒนาการในหลายด้านของลูกอีกด้วย
การอ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ลูกวัยขวบปีแรกฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการทั้งด้านภาษา กล้ามเนื้อมัดเล็ก และอารมณ์-สังคม
พัฒนาการด้านภาษา: ลูกจะได้ฝึกการได้ยิน รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ จากหนังสือ
พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก: เด็กๆ จะได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กจากการใช้นิ้วมือ หยิบ จับ สัมผัส และขีดเขียน ซึ่งเป็นการทำงานประสานกันระหว่างสายตาและมือ
พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม: การได้โอบกอด นั่งตัก และปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ จะช่วยสร้างความผูกพันและความไว้ใจ ขณะเดียวกัน การเล่านิทานอย่างสนุกสนานก็จะทำให้เด็กมีอารมณ์ดี และช่วยพัฒนาการเรียนรู้และจดจำได้ดี
ควรเริ่มอ่านหนังสือและเล่านิทานตั้งแต่ลูกลืมตามองโลก เพราะการได้ยินเริ่มพัฒนาแล้ว แม้ลูกจะยังไม่เข้าใจความหมาย แต่จะช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงของพ่อแม่ หากมาเริ่มเมื่ออายุ 1 ขวบอาจต้องใช้เวลานานในการปรับตัว
ถ้าจะเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกในวัยที่เข้าใจภาษาฟังบ้างแล้ว ควรเริ่มตอนอายุ 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายพร้อมพัฒนา นั่งเองได้ รู้จักชื่อตัวเอง และเริ่มส่งเสียงโต้ตอบกับพ่อแม่
เมื่ออ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ลูกฟัง ควรใช้น้ำเสียงที่ชัดเจน ถูกต้อง และเร้าใจ อาจทำเสียงประกอบตามเรื่อง ใช้ท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง และมีอุปกรณ์เสริมช่วยเพิ่มความน่าสนใจ เช่น ตุ๊กตา หรือเปิดเพลงคลอเบาๆ ขณะเล่านิทาน
ควรใช้เวลาประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง ในช่วงก่อนนอนหรือหลังกินนม เพื่อให้เป็นกิจกรรมที่มีคุณภาพ และไม่ทำให้ลูกเกิดความเบื่อหน่าย
การพาลูกออกไปเล่นนอกบ้านเสริมภูมิคุ้มกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาการทางอารมณ์ หรือสุขภาพกาย การให้เด็กๆ ออกมาเล่นในที่โล่งกว้างนั้นมีความสำคัญอย่างมาก
เด็กๆ จะได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ในธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ซึ่งจะกระตุ้นการเรียนรู้และจินตนาการของพวกเขา นอกจากนี้ การได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด วิ่ง ปีนป่าย ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงการดูดซึมวิตามินดีจากแสงแดด
ดังนั้น การให้เด็กๆ ได้เล่นในที่โล่งกว้างอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลดีต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจของพวกเขา
รู้ทันพัฒนาการเด็ก เสริมพัฒนาการเด็ก เจ้าตัวเล็ก
ช่วงวัย 1-3 ปี เป็นช่วงที่เด็กเล็กจะเริ่มพัฒนาทักษะการพูด และความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในอนาคต คุณแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการด้านนี้ของลูกน้อย
การพูดคุยสนทนาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กเล็กได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะการใช้ภาษา นอกจากนี้ คุณแม่อาจตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ลูกได้คิดและตอบ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออก
นอกจากการพัฒนาด้านการพูดแล้ว การให้ลูกได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น การจ๊อกกิ้งรอบหมู่บ้านหรือการปั่นจักรยานสามขาร่วมกัน ก็จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและสร้างความผูกพันระหว่างคุณแม่และลูกน้อย
ด้วยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น การสนทนา การตั้งคำถาม และการออกกำลังกายร่วมกัน คุณแม่จะได้ใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับลูกน้อย ซึ่งจะส่งผลดีต่อพัฒนาการและความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว
ส่งเสริมจินตนาการให้ลูก พัฒนาสมอง
จินตนาการเริ่มได้ด้วยการเล่น เด็กในช่วงวัยแรกเกิดจนถึง 3ขวบ เป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะว่าเด็กในวัยนี้เป็นช่่วงที่ระบบสมองของลูกกำลังพัฒนา ให้ลูกได้สนุกกับการเล่นส่องกระจก
เด็กเล็กวัยประมาณ 4 เดือนขึ้นไป สามารถเพลิดเพลินกับการส่องกระจกได้แล้ว การเล่นกับกระจกเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของลูกน้อย ผ่านการได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง
ในช่วงแรก เด็กอาจยังไม่เข้าใจและรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่เห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็จะคุ้นเคยและเริ่มเรียนรู้ที่จะจดจำภาพของตนเอง
คุณแม่สามารถฝึกให้ลูกลองอ้าปาก ยิ้ม หรือหัวเราะ ขณะที่มองเห็นภาพในกระจก เด็กจะรู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมนี้ ราวกับว่ามีเพื่อนมาเล่นด้วย อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรสลับสับเปลี่ยนการเล่นของลูกด้วยกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ด้วย
เสริมสร้างพัฒนาการของสมองเจ้าตัวน้อย
ความสำคัญกับการเสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกน้อย ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเรียนรู้ในอนาคต ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้
-
ปกป้องลูกจากความเครียด – ความเครียดอาจชะลอพัฒนาการสมองของลูกได้ ไม่ว่าจะเกิดจากความรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย หรือรู้สึกถูกทอดทิ้ง
-
จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต – จัดให้มีอุปกรณ์และของเล่นที่ช่วยพัฒนาทักษะการเห็น สัมผัส และดมกลิ่น
-
เปิดโลกกว้างให้ลูกได้สำรวจ – จัดที่นอนหรือเปลให้โล่ง เพื่อให้ลูกสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการสมองในช่วงนี้
-
เลือกของเล่นที่เหมาะกับพัฒนาการ – แบ่งตามช่วงวัย เช่น วัย 0-3 เดือน ให้ของเล่นที่เสริมทักษะและสร้างความสุข สนุกสนาน วัย 3-5 เดือน ให้ของเล่นเขย่า หรือตุ๊กตายางบีบมีเสียง
-
เลือกผู้ดูแลที่มีคุณภาพสูง – พี่เลี้ยงที่ดีควรมีรักเด็ก ยิ้มง่าย ใจดี รับผิดชอบ และมีสติปัญญาเพียงพอ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นสมองและการเรียนรู้ของลูกน้อย
สรุป
ทั้งนี้ เสริมพัฒนาการเด็ก โดยการที่สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำนมแม่และอาหารเสริมที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน กรดไขมัน วิตามิน ฯลฯ อีกด้วย