ปัจจัยที่ทำให้ไม่ดีขึ้น
สมาธิสั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งต่างๆต่อไปนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่
- มีอาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมากในตอนเด็ก ๆ และไม่ได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้อง พ่อแม่ ครูและเพื่อน ใช้ วิธีการที่ รุนแรงและกดดัน จนเกิดความทุกข์
- มี พฤติกรรมก้าวร้าวและเจ้าอารมณ์เพราะถูกทำร้ายทางกายและทางใจจากผู้ใกล้ชิดที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียน
- การเลี้ยงดูไม่ดี พ่อแม่กดดันเด็กทางด้านการเรียนและความประพฤติ โดยใช้วิธีการรุนแรง หรือ ตามใจมาก ไม่มีการฝึกให้มีระเบียบวินัยที่เหมาะสมและยืดยุ่น โดยปราศจากความรุนแรง ไม่มีการทำ ตารางกิจวัตรประจำวัน ดูแลให้เด็กปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นความเคยชินและรับรู้ในความรับผิดชอบของตน
- ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ไม่ดี อยู่แต่ในวงจรของความโกรธ ความรุนแรงและการบีบบังคับกดดันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งตี ดุ ว่า ประชดประชัน เปรียบเทียบ บ่น จน เด็กมีความทุกข์ หรือปลุกปล้ำให้เด็กเรียนพิเศษและเรียบร้อยมากเกินไป จนเด็กมีความทุกข์และเกิด อาการวิตกกังวล (Anxiety) กลัวว่า จะถูกดุ ถูกว่า จึงเริ่มต้น "โกหก" เพราะคิดว่าจะพ้นความผิด เมื่อพ่อแม่หรือครูบอกให้ทำอะไร เกิดความไม่มั่นใจว่าตนเองจะทำได้ ทำให้เกิดความไม่ภาคภูมิใจในตนเอง (Low Self-Esteem)
- มีปัญหาทางด้านอารมณ์แทรกซ้อนเพราะทนต่อความทุกข์ที่ได้รับไม่ได้ เช่น อาการซึมเศร้าเรื้อรัง (Depressive Disorder) โดยไม่ได้รับการรักษา จนกระทั่งมี อาการอารมณ์แปรปรวน (Bipolars Disorder) สามารถทำร้ายพ่อแม่หรือบุคคลอื่นได้
- มี ปัญหาพฤติกรรมแทรกซ้อนเพราะไม่สามารถทนรับความทุกข์ ที่เกิดขึ้นทุกวันจากบุคคลรอบตัว เช่น พูดโกหก ต่อต้าน ก้าวร้าว เกเร เป็นอันธพาล(Oppositional Defiant Disorder หรือ ODD) ลักขะโมยโดยเริ่มต้นขะโมยเงินพ่อแม่ เสพยาและประพฤติผิดกฎหมายทุกรูปแบบ
- ไม่ได้รับโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ แทนด้านการเรียนที่ประสบความล้มเหลวอยู่เสมอ
ในบรรดาปัจจัยทั้งหมดนี้ จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เด็กมีปัญหาเมื่อโตขึ้นคือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างพ่อแม่กับตัวเด็ก นั่นเอง ในครอบครัวมีแต่ความทุกข์ ปราศจากบรรยากาศแห่งความสุขสดชื่น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีอารมณ์แช่มชื่นแจ่มใส มีแต่ความกดดันและความเครียด ทุกอย่างเด็กต้องทำตามความต้องการของพ่อแม่ จนเกินพอดีและกลายเป็นความทุกข์ เด็กสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง มักคร่ำครวญว่า "ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ทำอะไรผิดหมด เบื่อ อยากตาย"
ในกรณีเช่นนี้คุณต้องรีบหาความช่วยเหลือจาก จิตแพทย์ นักจิตวิทยาและผู้ที่มีประสบการณ์โดยด่วน
สมาธิสั้นนั้นแก้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ตามสมาธิสั้นมาซิแก้ไม่ง่าย มันคืออาการดังต่อไปนี้
อาการซึมเศร้า (Depressive Disorder) มักเกิดขึ้นกับเด็กสมาธิสั้นและเด็กบกพร่องทางการเรียนรู่หรือเด็กแอลดี เด็กมักขาดความภาคภูมิใจในตนเอง เพราะต้องทนรับความทุกข์ที่เกิดจากบุคคลรอบตัว ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ถูกดุด่า ว่ากล่าว ตำหนิ ติเตียน ทำอะไรก็ผิดไปหมด ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงหลับตานอน ทั้งเดือนทั้งปี หาความสุขไม่ได้ ตนเองก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดและจะแก้ไขตนเองอย่างไร ในที่สุดจะมีอาการดังต่อไปนี้
- นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
- กินอาหารไม่อร่อย ไม่รู้สึกอยากกิน ที่เคยกินมากก็กลายเป็นกินน้อย ที่กินน้อยกลายเป็นกินมาก แต่จะดูซูบผอม นำหนักลด
- คิดวนอยู่ที่ความทุกข์ของตนเอง ไม่มีใครรัก ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องและเพื่อน
- เบื่อ ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากพูดคุยกับใคร มักหลีกเลี่ยงแยกตัวไปอยู่คนเดียว
- รู้สึกหดหู่ เศร้า ไม่เบิกบานแจ่มใส หงุดหงิดง่าย ทุกอย่างดูแย่
- บางรายคิดทำร้ายตนเองหรือพยายามฆ่าตัวตน
- บางรายอาจมีอาการทางกาย เช่น ปวดศรีษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ ใจสั่น เหงื่อแตก
อาการต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนถึงขั้นเกิดทุกวัน เด็กต้องได้รับการช่วยเหลือ โดยการพาไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
อาการอารมณ์แปรปรวน(Bipolars Disorder) เมื่อมีอาการซึมเศร้าแล้วผู้ใกล้ชิดไม่รู้ ปล่อยให้เป็นนานเกินสองสัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการมากขึ้น โดยมีอารมณ์แปรปรวน ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย เกิดอารมณ์สองขั้ว มีอาการซึมเศร้า เอะอะโวยวาย อาละวาด ถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นได้ อาการในระยะนี้เรียกว่า "ทั้งซึมทั้งเศร้า ทั้งบ้าทั้งคลั่ง" บางครั้งจะมีอารมณ์ขันและแจ่มใสเบิกบาน ในเรื่องที่ผู้อืนไม่รู้สึกว่าน่าขบขัน แต่ผู้ป่วยกลับหัวเราะขบขัน อารมณ์ดี ดูมีความสุขและมีอาการพูดเร็ว พูดโม้ถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง อวดอ้างว่าตนเองทำได้ เช่น ตนเองสามารถขับเครื่องบินได้ เป็นต้น หลังจากอาการเหล่านี้ จะมีอารมณ์โกรธในเรื่องเล็ก ๆ เช่น เมื่อคุณแม่เรียกให้รับประทานข้าว จะโกรธจนถึงขั้นเอะอะอาละวาด ขว้างปาสิ่งของหรือทำร้ายคุณแม่ได้ อารมณ์สุขและอารมณ์คลั่งเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์สองขั้ว ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายอย่างชัดเจน แถมยังมีอาการตาขวางให้ผู้อยู่ใกล้หวาดกลัวอย่างมาก แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว จะรู้สึกผิด จะขอโทษผู้ที่ตนเองทำร้ายหรือเอะอะอาละวาดใส่ บางรายถึงกลับร้องไห้ ทำให้ผู้ใกล้ชิดไม่มั่นใจว่าป่วยหรือไม่ป่วยกันแน่ ในกรณีที่มีอาการซึมเศร้าผสมอยู่ด้วย จิตแพทย์มักถามผู้ดูแลว่า มีอารมณ์สุขและอารมณ์ขันผสมอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้ามีจึงจะวินิจฉัยว่า มีอารมณ์แปรปรวน ถ้าไม่มีจะวินิจฉัยว่า มีอ่ารมณ์ซึมเศร้า
อาการดื้อ ต่อต้าน เกเร ก้าวร้าว เป็นอันธพาล (Oppositional Defiant Disorder) อาการเช่นนี้ เป็นอาการทางพฤติกรรม มิใช่อาการทางอารมณ์ เด็กสมาธิสั้น เมื่อมีความทุกข์และเก็บกดมาก ๆ จะแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะกับผู้ใกล้ชิดและบุคคลที่ตนเองรู้สึกไม่ชอบและไม่พอใจ บางรายขณะนั่งรับประทานอาหารกับคุณแม่ เมื่อคุณแม่พูดไม่ถูกหู จะเถียงและใช้ถ้อยคำหยาบคาย จนถึงขั้นด่า บางรายถึงขั้นขว้างปาถ้วยชามหรือแก้วใส่คุณแม่หรือยกโต๊ะทุ่มก็มี อาการเช่นนี้ยิ่งกว่าอันธพาล ถ้าคุณแม่สงบนิ่งไม่โต้ตอบ ทุกอย่างก็จะสงบลง
ปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมตามข้างต้น เกิดกับทุกคนที่ไร้สุข ไม่เลือกว่าเป็นคนธรรมดาหรือคนพิเศษ ไม่ว่า "เด็กจะมีพ่อแม่ฐานะร่ำรวยหรือยากจน " จะเป็นเด็กเล็ก เด็กโต เด็กวัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ไม่จำกัดเพศและวัย แต่เด็กสมาธิสั้น มักมีปัญหาความทุกข์มากกว่าเด็กกลุ่มอื่นเพราะดูปกติ ฉลาด สามารถเถียงพ่อแม่และสามารถแสดงเหตุผลที่ชัดเจน จึงมักถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น โดยพ่อแม่มือใหม่คิดว่าแกล้งทำ
วิธีช่วยเหลือ
- พบจิตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการและให้รับประทานยาที่ปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุลย์ ยาบางประเภทกว่าจะออกฤทธิ์ต้องใช้เวลา ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานก่อนนอน หลังอาหารเช้าหรือหลังอาหารเย็นเพราะอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเวลารับประทานยา พึงจำไว่เสมอว่า จะต้อง รับประทานยาทุกวันและตามเวลาเดิม เช่น ยาก่อนนอน มิใช่วันนี้รับประทานตอนสองทุ่ม อีกวันตอนสี่ทุ่ม ฯลฯ การรับประทานเช่นนี้ไม่ให้ผลดีกับผู้ป่วย หรือ วันนี้รับประทานยา ไม่รับประทานวันพรุ่งนี้แต่รับประทานมะรืนนี้ เป็นต้น ผู้ป่วยต้องพบหมอตามนัดเพื่อประเมินผลของยาและอาการ
- พบนักจิตวิทยา เพื่อทำกิจกรรมกลุ่ม ที่มีโอกาสทำให้คลายทุกข์และปมปัญหา มีโอกาสเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและเรียนรู้ปัญหาและวิธีการของผู้อื่น
- บรรยากาศภายในบ้านต้องเปลี่ยน พ่อแม่พี่น้องต้องนำ ธรรมะ (ทาน ศีลและภาวนา ) เข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความรัก ความเมตตา ให้ความรัก ความอบอุ่นเพราะผู้ป่วยได้รับความทุกข์มามากแล้ว ทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างความรักและความอบอุ่นให้เกิดขึ้นในบ้าน ไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หากเป็นเด็ก ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น จนถึงขั้นทนกับความเครียดได้ ก็ยังไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนให้เกิดความเครียด จำไว้ว่า "ไม่มีคำว่าสายไป" ไม่จำเป็นต้องเรียนในชั้นเรียนปกติ เรียน กศน. ก็จบการศึกษาได้ เรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชก็จบอุดมศึกษาได้เช่นกัน ปัญหาของผู้ป่วยมิใช่เรื่องการเรียนหรือเรื่องการทำงาน แต่คือเรื่อง "ขาดความสุข" เพราะจิตใจอยู่ในสภาพบอบช้ำจากการถูกเอ็ด ถูกว่า กระทบกระแทกเปรียบเปรยและถูกดูถูกดูแคลน จึงจำเป็นต้อง บำบัดด้วยยาและความสุข ที่ใดมีความทุกข์และความเครียด ให้หลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
- สร้างเพื่อน พ่อแม่ญาติพี่น้องต้องช่วยสร้างเพื่อนผู้ใจดีหรือเป็นเพื่อนด้วยตนเอง รับฟังปัญหาและข้อกังวลใจต่างๆ ให้ใช้คำพูดในทางบวกเสมอ จะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจและไม่เครียด
- ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ฟังเพลงบ่อย ๆ ออกกำลังกาย ฝึกงานศิลปะที่สนใจ พยายามทำตัวให้ไม่ว่างจากการทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อจะได้ไม่คิดมากถึงความเจ็บป่วยของตนและการรับประทานยา ขอให้คุณพ่อคุณแม่และญาติพี่น้องหยิบยาหรือวิตามินที่ตนรับประทานมาให้ผู้ป่วยได้เห็นว่า ทุกคนล้วนมียาประจำตัวทั้งสิ้น มีใช่เรื่องเสียหายหรือเป็นจุดด้อยแต่อย่างใด
- การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy) ในกรณีที่เป็นมาก พยายามฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บ เนื่องจากยาไม่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้น จิตแพทย์จำเป็นต้องรักษาด้วยการช๊อตไฟฟ้า โดยปล่อยให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปในสมองของผู้ป่วย จนเกิดอาการชัก ปรากฏว่าตามหลักวิชาการ การรักษาด้วยไฟฟ้าให้ผลดีและมีความปลอดภัยสูง อาการจะดีขึ้นโดยรวดเร็ว แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ป่วยและญาติ การรักษาจึงไม่เป็นที่นิยมเพราะดูน่ากลัวและโหดร้ายมาก จากคำพูดของผู้ปกครองที่ลูกเคยถูกช๊อตไฟฟ้า ต่างพูดว่า ลูกดูแปลก ๆ และเหม่อลอย ไม่ค่อยปกติเท่าใด หากย้อนเวลาได้ จะไม่ให้หมอรักษาด้วยวิธีนี้เป็นอันขาด
ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์รักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
- พบแพทย์ตามนัดและรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันและในเวลาเดียวกัน
- ผู้ที่อยู่รอบตัวผู้ป่วยต้องช่วยกันสร้างความสุขและไม่อยู่ในอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดได้ง่าย ๆ
- ช่วยกันผ่อนคลายมิให้วิตกกังวลกับเรื่องการเรียนหรือเรื่องงานซึ่งมิใช่ปัญหาของความเจ็บป่วย ปัญหาของความเจ็บป่วยคือความทุกข์และอารมณ์เครียด
|